วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Valentine jour

.. ทำไมจึงชื่อ " วันวาเลนไทน์ " ..

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น วันวาเลนไทน์ ซึ่งพวกหนุ่มสาวมักจะรีบไปซื้อบัตรส่งทักทายกันส่งใจถึงกัน นับเป็นความนิยมมากขึ้น ประเพณีนี้เข้ามาสู่ประเทศไทยทีละเล็กละน้อย และดูเหมือนจะเป็นที่นิยมมากขึ้นทุกปี เป็นประเพณีที่หนุ่มสาวนิยมกันมากเป็นพิเศษที่สหรัฐอเมริกาและที่ประเทศอังกฤษทำไมจึงมีชื่อว่า " วันวาเลนไทน์ " และความหมายที่แท้จริงของวันนี้คืออะไร? และมาจากไหน?นักบุญ วาเลนไทน์ (Valentine) เป็นสงฆ์คาทอลิกองค์หนึ่งที่ได้ถูกประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ คริสตศักราช 270 ในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิโรมัน เกลาดิอุส ที่ 2 ( Clanoius) โดยแท้จริงแล้วท่านนักบุญไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเพณีการเลือกคู่ หรือหาคู่ หรือหาแฟน หรือความรัก ความสนใจระหว่างหนุ่มสาว ท่านก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วยเลย ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมจึงเลือกนักบุญองค์นี้มาเป็นองค์อุปถัมภ์สำหรับผู้ที่กำลังหาคู่ เลือกคู่หรือเลือกแฟนกันได้เล่า ? เหตุผลที่ค้นพบได้ก็คือ ที่มาของวันวาเลนไทน์ ไม่ขึ้นอยู่กับคนผู้นี้ แต่ขึ้นอยู่กับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประเพณีเลือกคู่ หรือหาคู่นี้มีมาแต่โบร่ำโบราณในทุกชาติ ดูเหมือนกับว่าได้เกิดขึ้นพร้อมกับวิวัฒนาการของมนุษย์ก็ว่าได้ ประเพณี วาเลนไทน์ นี้ก็มีต้นเหตุหรือ ที่มาสมัยที่จักรวรรดิโรมันแผ่อิทธิพลไปทั่ว ชาวโรมันสมัย โบราณมีการฉลองเทพเจ้าองค์หนึ่งชื่อ ลูแปร์คูส (Lupercus) ซึ่งตรงกับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ และถือว่าเป็นการฉลองใหญ่ ส่วนหนึ่งของการฉลองใหญ่นี้ก็จะเป็นการจัดงานหาคู่ของพวกหนุ่มสาว
ซึ่งจัดขึ้นในวันก่อนวันฉลองใหญ่ 1 วัน คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นี้จะถือโอกาสให้พวกหนุ่มสาวเสนอตัวเป็นคนรักกันชั่วระยะเวลา 1 ปี
ช่วงนี้จะเรียกว่าเป็นช่วงทดลองมิตรภาพเพื่อดูว่าทั้งคู่จะมีนิสัยใจคอเข้ากันได้หรือไม่ ชาวโรมันเป็นคนศรัทธาในเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็มีความเชื่อกันว่าพวกตนมีเทพเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเขาขอให้เป็นผู้ดูแลความรักของเขาในระหว่างช่วงระยะเวลาการทดลองเป็นคู่รักกัน 1 ปี นั้น เทพเจ้าองค์นี้เป็นหญิงชื่อเทพธิดา Juno Februata ซึ่งตาม เทพนิยายของชาวโรมันเป็นมเหสีของ Jupiter องค์มหาเทพเจ้าทั้งหลายครั้นต่อมา เมื่อชาวโรมันส่วนใหญ่กลับใจมาถือศาสนาคริสต์ (ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 4 ) ประเพณีของหนุ่มสาวที่จะหาคู่เพื่อทดลองเป็นคนรักกัน เพื่อจะแต่งงานกันในเวลาต่อไปนั้นก็ยังนิยมทำกันอยู่
แม้ว่าจะเป็นคริสตชนแล้วก็ตาม
ฉะนั้นเขาก็ยังรักษาประเพณีการเลือกคู่ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้นอยู่ตลอดมา เพียงแต่ว่าหนุ่มสาว โรมันชาวคริสต์ได้หันมาเปลี่ยนตัวผู้อุปถัมภ์องค์ใหม่ เพราะคริสตชนไม่นับถือเทพเจ้าหรือเทพธิดาอย่างกาลก่อน เขาจึงหันมาเลือกหานักบุญในคริสตศาสนาที่มี วันฉลองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งก็มี นักบุญวาเลนไทน์องค์นี้เอง จึงขอยืมชื่อท่านมาเป็นองค์อุปถัมภ์แทนเทพเจ้าเดิมของชาวโรมัน เรื่องราวความเป็นมามีดังนี้ ฉะนั้นถ้าท่านนักบุญมีชีวิตอยู่ท่านอาจรู้สึกงงงวยในตำแหน่งที่หนุ่มสาวได้เลือกตั้งและแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้อุปถัมภ์ โดยที่ท่านไม่ได้รู้เรื่องทางโลกของหนุ่มสาวด้วยเลยแม้แต่น้อยความรักระหว่างหนุ่มสาวนั้นอาจจะเผชิญกับอันตรายบางอย่าง และอาจจะเป็นโอกาสให้พลังและความรักนั้นทำลายความสัมพันธ์อันสูงส่งระหว่างหนุ่มสาวนั้นเอง
ความหมายของการมี วันวาเลนไทน์ นี้ก็คือการช่วยหนุ่มสาวหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันด้วยใจบริสุทธิ์ความหมายเห็นได้ชัดในคำว่า "You are my Valentine" ที่มักจะเขียนลงในบัตรส่งใจถึงกันและกัน ประโยคตามความหมายเดิม หมายถึงว่า "ข้าพเจ้าขอเสนอตัวเป็นเพื่อนสนิทของท่านในช่วงเวลา 1 ปี และข้าพเจ้าพร้อมที่จะตกลงแต่งงานกับท่าน ถ้ามิตรภาพของเรานี้เป็นสิ่งที่ยืนยง"
ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวที่จะช่วยให้ก้าวหน้าในความรักที่แท้จริงนั้น ก็ควรจะ
ประกอบด้วย 3 ข้อด้วยกัน ดังนี้
1. ให้รู้จักกันทั้งในด้านดี ในด้านเสีย และข้อผิดพลาดซึ่งต่างก็มีอยู่
และยอมรับซึ่งกันและกันในข้อเหล่านั้น
2. ให้เคารพและเห็นใจกัน โดยเสียสละต่อกันเพื่อให้คนรักของตนได้รับความดี
และความสุขใจในทางที่บริสุทธิ์งดงาม
3. ให้มีการปรับปรุง และเปลี่ยนนิสัยของตนในส่วนที่บกพร่อง
เพื่อจะอยู่กันด้วยความ
สุขในอนาคต

ลักษณะทั้งสามดังกล่าวนี้ คงจะเป็นประโยชน์สำหรับหนุ่มสาวไทยไม่เฉพาะ ในวันวาเลนไทน์หรือสำหรับกลุ่มที่นิยมประเพณีต่างประเทศเท่านั้น แต่สำหรับทุกคู่ที่แสวงหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันอัน จะนำไปสู่ความรักที่มั่นคงและยั่งยืนชั่วชีวิต
ความรักเป็นสิ่งสวยงาม...อย่างที่ใครหลายคนนิยามไว้
ถ้าคุณคิดถึงใครสักคนที่รักคุณมากๆ แล้วคุณก็รักเขามากๆ
วันวาเลนไทน์นี้คุณจะเตรียมของขวัญพิเศษสักชิ้น หรือทำอะไรสักอย่างให้คนสำคัญของคุณ ,,,*

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Les fruits

[n.m.] เล ฟรุย - ผลไม้

abricot [n.m.]อา-บริ-โก
แอพริคอท
amande [n.f.] อา-มอง(เดอ) (ผล,เมล็ด)
อัลมอนต์
ananas [n.m.]อา-นา-นา, อา-นา-นาส
สับปะรด
avocat [n.m.]
อา-โว-กา
อะโวกาโด
banane [n.f.]
บา-นาน(เนอ)
กล้วย
cantaloup [n.m.]
กอง-ตา-ลู
แตงแคนตาลูป
cassis [n.m.]
กา-ซิส
(ผลตระกูล) กูสเบอรี่ (สีดำ)
cerise [n.f.]
เซอ-รีส(เซอ)
เชอรี่
citron [n.m.]
ซิ-โทรง
มะนาว
châtaigne [n.f.]
ชา-แตน(เยอ)
ผลเกาลัด
datte [n.f.]
ดัต(เตอ)
ผลอินทผลัม
figue [n.f.]
ฟีก(เกอ)
ผลมะเดื่อ

fraise [n.f.]
แฟรส(เซอ)
สตรอเบอรี่
framboise [n.f.]
ฟรอง-บวส(เซอ)
รัสป์เบอรี่
fruit de la passion [n.m.]
ฟรุย เดอ ลา ปาส-ซิ-ยง
เสาวรส
grenade [n.f.]
เกรอ-นาด(เดอ)
ผลทับทิม
groseille [n.f.]
โกร-แซย(เยอ)
ผลกูสเบอรี่ (สีแดง)
kaki [n.m.]
กา-กี
ลูกพลับ
kiwi [n.m.]
กี-วี
ผลกีวี
mandarine [n.f.]
มอง-ดา-ริน(เนอ)
ส้ม (ชนิดหนึ่ง)

mangue [n.f.]
มอง(เกอ)
มะม่วง
marron [n.m.]
มา-รง
ผลเกาลัด
melon [n.m.]
เมอ-ลง
แตงเมล่อน
melon d'eau / pastèque [n.f.]
เมอ-ลง โด / ปาส-แตก(เกอ)
แตงโม
mûre [n.f.]
มือ(เรอ)
ผลหม่อน
myrtille [n.f.]
เมียร์-ตี(เยอ), เมียร์ตีล
ผลบลูเบอร์รี่
nectarine [n.f.]
เนก-ตา-ริน(เนอ)
เนกตาริน (ตระกูลท้อ)
noisette [n.f.]
นัว-แซต(เตอ)
ผลนัต
olive [n.f.]
โอ-ลีฟ(เวอ)
มะกอก

orange [n.f.]
โอ-รอง(เชอ)
ส้ม
pamplemousse [n.m.]
ปอง-เปลอ-มูส(เซอ)
ส้มเกลี้ยง
pastèque [n.f.]
ปาส-แตก(เกอ)
แตงโม
pêche [n.f.]
แปช(เชอ)
ลูกพีช (ผลท้อ)
poire [n.f.]
ปัว(เรอ)
ผลสาลี่
pomme [n.f.]
ปอม(เมอ)
แอปเปิล
prune [n.f.]
พรุน(เนอ)
ลูกพรุน
raisin [n.m.]
เร-แซง
ผลองุ่น
tangerine [n.f.]
ตอง-เชอ-รีน(เนอ)
ส้มเขียวหวาน

ผลไม้ทุกชนิดล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ อยากให้หันมาดูเเลสุขภาพกันให้มากๆ

และการกินอาหารเเต่ละมื้อ

เราควรทานอาหารให้ครบทุก 5หมู่ด้วยนะคะ